top of page

เมื่อ "ความแข็งแกร่ง" พาคุณสู่ "ความเครียด" ที่ไม่รู้ตัว: สัญญาณเตือน "อาการเครียด" และวิธีดูแลสุขภาพจิต


คุณเคยรู้สึกไหมว่าตัวเองเป็นคนเก่ง เป็นที่พึ่งของคนอื่น สามารถจัดการปัญหาชีวิตได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ดูเหมือนจะเอาอยู่เสมอ? อาการใจสั่น อาการแพนิค ความวิตกกังวล หรือความเหนื่อยล้าทางใจที่อธิบายไม่ได้ อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายและจิตใจกำลังบอกว่าคุณกำลังแบกรับมากเกินไป บทความนี้จะสำรวจกลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้คนเก่งและแข็งแกร่งต้องเผชิญกับความเครียดที่ไม่รู้ตัว พร้อมชี้แนะวิธีดูแลสุขภาพจิตเพื่อพาคุณกลับสู่สมดุลและจัดการกับความเครียดสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ความเครียด
ความเครียด

"กลไกอัตโนมัติต่อความเครียด" ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่ง: ทำความเข้าใจตามหลักจิตวิทยา


คุณเคยสังเกตไหมว่าเมื่อคุณเผชิญหน้ากับความเครียดและปัญหา คุณมักจะตอบสนองด้วยการเข้าไปจัดการ ควบคุม หรือแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว? ในทางจิตวิทยา เราเรียกปฏิกิริยานี้ว่า "ปฏิกิริยาอัตโนมัติ" (Automatic Response) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการเอาชีวิตรอดของสมอง


เมื่อสมองรับรู้ถึง "ความเครียด" (Stressors) ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามทางกายภาพ หรือความกดดันทางจิตใจ มันจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้เราเตรียมพร้อมสำหรับ "สู้ หนี หรือแข็งค้าง" (Fight, Flight, or Freeze Response) สำหรับบางคน ปฏิกิริยา "สู้" อาจปรากฏในรูปแบบของการเป็น "ผู้แบกรับ" (Burden Bearer) หรือ "ผู้ควบคุม" (Controller) ที่พยายามจัดการทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ตนเองกลัวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความกลัวความผิดพลาด, ความกลัวการถูกปฏิเสธ, หรือ ความกลัวที่จะทำให้คนรอบข้างผิดหวัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดใน ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ที่ชี้ว่าพฤติกรรมของเราหลายอย่างเรียนรู้มาจากการสังเกตและการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม

ภายใต้พฤติกรรมที่ดูแข็งแกร่งเหล่านี้ มักมีความเชื่อหลักที่ฝังแน่นอยู่ในใจ หรือ "Core Beliefs" เช่น "ฉันต้องสมบูรณ์แบบ" "ฉันต้องเป็นที่พึ่งของทุกคน" หรือ "ฉันต้องไม่พลาด" ความเชื่อเหล่านี้มักพัฒนามาตั้งแต่เด็กจากประสบการณ์ในครอบครัวหรือสังคม ตามหลัก ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ที่มองว่าประสบการณ์ในวัยเด็กมีผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพและกลไกการป้องกันตัวของเราเมื่อโตขึ้น


การที่เราพยายาม "จัดการความเครียด" ด้วยการควบคุมทุกอย่างภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกภายในที่อ่อนแอ อาจทำให้เราละเลยการรับรู้และทำความเข้าใจ "อารมณ์" (Emotions) ที่แท้จริงของตัวเอง อารมณ์ที่ถูกกดทับเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่จะถูกสะสมและแสดงออกผ่านอาการทางกายจากความเครียด เช่น อาการใจสั่น, ปวดหัว, หรือนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ร่างกายพยายามสื่อสารกับเราว่าถึงเวลาที่ต้องดูแลสุขภาพจิตอย่างจริงจังแล้ว


ถอดรหัสสัญญาณเตือนความเครียด: กุญแจสู่การดูแลสุขภาพจิตตามหลักจิตวิทยา


หากคุณเริ่มมีอาการความเครียดสะสม หรือรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับบทบาท "นักแก้ปัญหา" จนอ่อนเพลียทางใจ นี่คือสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ได้ โดยอาศัยหลักการทางจิตวิทยา เพื่อพัฒนาตนเองและสร้างสุขภาวะทางจิตที่ดีขึ้น:


  1. การรับรู้กาย (Body Awareness): ร่างกายของเราเป็นเสมือน "เทอร์โมมิเตอร์" ที่วัดระดับความเครียด การเรียนรู้ที่จะ "ฟัง" สัญญาณจากร่างกาย เช่น อาการใจสั่น, แน่นหน้าอก, หรือความรู้สึกหวิว เป็นการตระหนักรู้ถึงการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อความเครียด ซึ่งเป็นก้าวแรกของการ "มีสติ" (Mindfulness) ที่จะอยู่กับปัจจุบันและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไม่ตัดสิน

  2. การแยกแยะความคิดและความรู้สึก (Distinguishing Thoughts from Feelings): ตามแนวคิดของ การบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) เราเชื่อว่าความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม ล้วนเชื่อมโยงกันเป็นวงจร การฝึกแยกแยะว่าอะไรคือ "ความคิด" (สิ่งที่คุณเชื่อหรือตีความ เช่น "ฉันต้องจัดการปัญหาได้ดีที่สุด") และอะไรคือ "ความรู้สึก" (อารมณ์ที่คุณกำลังสัมผัส เช่น "ฉันกลัว", "ฉันกังวล") จะช่วยให้คุณเข้าใจต้นตอของปัญหาได้ดีขึ้น ลองถามตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่?" และ "ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอย่างไร?" เพื่อหยุดวงจรความคิดอัตโนมัติที่นำไปสู่ความวิตกกังวล

  3. สำรวจความเชื่อหลักและความกลัว (Exploring Core Beliefs and Fears): การค้นหาว่าอะไรคือ "ความเชื่อหลัก" ที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและปฏิกิริยาของคุณ เช่น "ฉันต้องควบคุมได้" หรือ "ฉันห้ามอ่อนแอ" และความกลัวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเชื่อเหล่านั้น การเข้าใจที่มาของความเชื่อเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถท้าทายและปรับเปลี่ยนมุมมองที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตของตัวเองได้

  4. ให้พื้นที่กับอารมณ์ (Emotional Validation): การอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึก ไม่ว่าจะรู้สึกกลัว กังวล โกรธ หรืออ่อนแอ เป็นสิ่งสำคัญ การยอมรับว่าความรู้สึกเหล่านั้นมีอยู่จริงและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ (Emotional Validation) จะช่วยลดการกดทับอารมณ์และนำไปสู่การจัดการอารมณ์ในวิธีที่สร้างสรรค์มากขึ้น

  5. ทบทวนกลไกการรับมือ (Re-evaluating Coping Mechanisms): ลองสังเกตว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้น คุณมีปฏิกิริยาอัตโนมัติอย่างไร การรับรู้ถึง "รูปแบบพฤติกรรม" ที่ทำซ้ำๆ จะช่วยให้คุณตระหนักรู้และสามารถเลือกที่จะตอบสนองในรูปแบบที่แตกต่างออกไปได้ การเรียนรู้ที่จะ "ปล่อยวาง" (Letting Go) จากการควบคุมบางสิ่งบางอย่าง อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการพยายามแบกรับทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ และลดความเครียดสะสม


สู่ชีวิตที่ "สมดุล": แข็งแกร่งได้ โดยไม่ทำร้ายใจตัวเอง


การทำความเข้าใจตัวเองและรูปแบบความคิดความรู้สึกที่เรามีนั้น เป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและสมดุลมากขึ้น คุณยังคงเป็นคนเก่ง เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ แต่จะทำมันด้วยความเข้าใจในตัวเอง (Self-awareness) ที่มากขึ้น ไม่ใช่จากการกดดันหรือความกลัวที่ซ่อนอยู่


จำไว้ว่า การดูแลสุขภาพจิตไม่ต่างจากการดูแลสุขภาพกาย การที่เราจะ "ดีขึ้น" ได้นั้น ไม่ใช่แค่การกินยา แต่คือการที่เราได้กลับมา "มองเห็น" และ "ทำความเข้าใจ" ตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมี "สุขภาวะทางจิต" (Mental Well-being) ที่ยั่งยืน


หากคุณกำลังเผชิญกับอาการเครียด ภาวะเครียด หรือภาวะกังวลที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การปรึกษานักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณค้นพบหนทางสู่การมีชีวิตที่สมดุลและมีความสุขมากขึ้น


วันนี้ คุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางเพื่อทำความเข้าใจใจของคุณเองแล้วหรือยังคะ?



หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถนัดหมาย เพื่อปรึกษานักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญของ The Better You ได้



Comments


©2020 by Ungkana. Proudly created with Wix.com

bottom of page