
ทำไม “ความเงียบ” ถึงสร้างความรู้สึกอึดอัดใจ
ไม่นานมานี้ ฉันได้ค้นพบว่า ตนเอง “ทนไม่ได้” กับสถานการณ์ที่อีกฝ่าย “เงียบ” ไม่ว่าจะเป็นการเงียบหน้าตาบึ้งตึงในชีวิตประจำวัน หรือการเงียบในสื่อสารออนไลน์ เช่น การไม่อ่านหรืออ่านแล้วไม่ตอบข้อความ ไปจนถึงการเข้าประชุมร่วมกันแล้วไม่มีการโต้ตอบ การเงียบลักษณะนี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดของฉันอย่างมาก
ในวงการจิตวิทยาความสัมพันธ์ (Interpersonal Psychology) มีงานศึกษาจำนวนไม่น้อยที่กล่าวถึงการเงียบหรือ “Stonewalling” ซึ่งเป็นหนึ่งใน “สี่อาชาแห่งวันสิ้นโลก” (Four Horsemen) ตามทฤษฎีของจอห์น กอตต์แมน (Gottman, 2015) ที่พบว่า การเงียบหรือปฏิเสธที่จะสื่อสาร สามารถกระทบความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจของอีกฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดความสงสัยในตนเอง ความวิตกกังวล และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การตีความและความคิดเชิงลบ (Negative Automatic Thoughts)
เมื่อใดก็ตามที่ฉันสังเกตว่าอีกฝ่าย “ไม่ตอบ” ฉันจะเกิดความคิดเชิงลบโดยอัตโนมัติ (Automatic Negative Thoughts) ทันที เช่น
“ฉันพูดอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า?”
“เขาไม่ชอบฉัน”
“ฉันคงไม่มีคุณค่า”
สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด กังวล ไร้ค่า และยังส่งผลต่อพฤติกรรม เช่น การบ่นกับคนรอบข้าง หรือการพยายามหาข้อผิดของคนที่เงียบกับฉัน หรือบางครั้งก็กลับมานั่งโทษตัวเองว่าทำอะไรผิดไป ทำไมอีกฝ่ายจึงเมินเฉย
ในเชิงทฤษฎีจากสายการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) ของเบคและคณะ (Beck, Rush, Shaw, & Emery, 1979) ระบุว่า ความคิดอัตโนมัติเป็นผลพวงจาก “Core Beliefs” (แกนความเชื่อ) ซึ่งเป็นความเชื่อลึกๆ ที่เรามีต่อตนเอง ผู้อื่น และโลก เมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์มากระตุ้น (Trigger) แกนความเชื่อเหล่านั้นจะไปกระตุ้นความคิดอัตโนมัติ ที่ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของเรา
แกนความเชื่อ (Core Beliefs) ที่ว่า “ฉันไม่มีคุณค่า”
จากการย้อนทบทวนตัวเอง ฉันค้นพบว่า แกนความเชื่อหลักที่ฝังอยู่ในใจ คือ “ฉันไม่มีคุณค่า” ซึ่งอาจมีรูปแบบความคิดย่อยๆ เช่น
“ถ้าคนอื่นไม่ตอบสนอง แสดงว่าฉันต้องทำผิดพลาดบางอย่าง”
“ฉันจะได้รับการยอมรับหรือมีคุณค่าก็ต่อเมื่อทำให้คนอื่นพอใจ”
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ประสบการณ์ในวัยเด็ก เช่น การไม่ได้รับการตอบสนองทางอารมณ์อย่างเพียงพอ หรือถูกเมินบ่อยครั้ง สามารถก่อให้เกิดแกนความเชื่อเชิงลบต่อ “คุณค่าในตนเอง” (Self-worth) ได้ (ดูตัวอย่างใน Bowlby, 1988 เกี่ยวกับทฤษฎีผูกพัน (Attachment Theory) ซึ่งอธิบายว่าการไม่ได้รับการโต้ตอบทางอารมณ์ตั้งแต่วัยเด็กส่งผลต่อความรู้สึกมั่นคงในการสื่อสารระหว่างบุคคลในอนาคต)
เข้าใจที่มาเพื่อเปลี่ยนปัจจุบัน
ฉันเติบโตมาในสังคมไทยที่การถามตรงๆ อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ หรือเกิดความรำคาญได้ จึงทำให้เลือกที่จะ “ไม่เผชิญหน้า” กับความเงียบด้วยการถามตรงๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น?” เพราะเคยเจอคำตอบทำนองว่า “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ศึกษาและลองนำแนวทางของจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ ฉันตระหนักว่า
เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ แต่เราสามารถเข้าใจที่มาและรับรู้ว่า ความคิดและความรู้สึกบางอย่างเกิดจาก “ร่องรอย” ของประสบการณ์ที่ผ่านมา
การมี Awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อรู้ว่าความคิดอัตโนมัติเชิงลบเกี่ยวข้องกับแกนความเชื่อใด ก็สามารถหาวิธีท้าทายหรือลดทอนอิทธิพลของแกนความเชื่อนั้นได้
วิธีเผชิญหน้าและท้าทายความคิดอัตโนมัติ
เมื่อใดที่ฉันรู้สึกไม่สบายใจจากความเงียบ ฉันจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า:
“เขาไม่ตอบฉันเพราะเขาไม่ชอบฉันจริงหรือ?”
“ถ้าเขาไม่ชอบฉันจริงๆ นั่นหมายความว่าฉันไม่มีคุณค่าจริงหรือ?”
“การให้คนอื่นมาชอบฉันเป็นเงื่อนไขที่กำหนดคุณค่าของฉันจริงหรือ?”
ขั้นตอนนี้สอดคล้องกับหลักการ Cognitive Restructuring ใน CBT ที่ให้เราทดสอบความถูกต้องของความคิด (Validity of Thoughts) และมองหาหลักฐานอื่นๆ มาหักล้างหรือปรับมุมมองใหม่
สร้างหลักฐานใหม่หักล้างความเชื่อเดิม
เมื่อตั้งคำถามกับความคิดอัตโนมัติ เราอาจค้นพบ “หลักฐานใหม่” ว่า อีกฝ่ายอาจจะยุ่ง หรือมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวกับความไม่พอใจในตัวเราก็ได้ เมื่อสะสมหลักฐานใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะค่อยๆ ลดอิทธิพลของ Core Belief เดิมที่ว่า “ฉันไม่มีคุณค่า” แล้วแทนที่ด้วยความเชื่อใหม่ที่สมดุลกว่า เช่น
“ฉันมีคุณค่าในตัวเอง แม้อีกฝ่ายอาจตอบหรือไม่ตอบก็ตาม”
“การสื่อสารของคนอื่นขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่แค่สิ่งที่ฉันทำหรือพูด”
ให้รางวัลกับตัวเองเมื่อผ่านสถานการณ์ได้
การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ทุกครั้งที่ฉันผ่านสถานการณ์ความเงียบมาได้อย่างใจเย็น หรือมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปในเชิงบวก ฉันจะให้รางวัลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมตัวเอง พักผ่อน หรือทำสิ่งที่ชอบ การให้รางวัลเป็นการเสริมแรง (Reinforcement) ที่ช่วยให้สมองเชื่อมโยงว่า “การจัดการแบบใหม่นี้ดีและปลอดภัย”
การจัดการโลกภายนอกผ่านโลกภายในที่สงบ
เราอาจควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้ว่าใครจะเงียบหรือไม่ แต่การจัดการโลกภายในของเราอย่างสงบ จะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาและสถานการณ์ที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเรามีจิตใจที่มั่นคงและเชื่อมั่นว่าตนเองมีคุณค่าโดยไม่ต้องรอให้ใครมายืนยัน เราก็จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีเป้าหมายและไม่หวั่นไหวต่อ “ความเงียบ” ที่อาจเกิดขึ้น
คำย้ำเตือนถึงตัวเองและคนที่เรารัก
ในทุกๆ วัน ฉันยังคงย้ำเตือนตัวเองและลูกชายเสมอว่า
“ลูกมีคุณค่าเสมอ และลูกจะเป็นที่รักเสมอ ไม่ว่าด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม”
การย้ำเตือนด้วยประโยคเชิงบวก (Positive Affirmation) เป็นอีกหนึ่งวิธีส่งเสริมความมั่นคงทางจิตใจและสร้างพื้นฐาน Core Belief ใหม่ที่ว่า “เรามีคุณค่าในตัวเอง” โดยไม่ต้องขึ้นกับการตอบสนองของผู้อื่นเสมอไป
ความเงียบ อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับใครหลายคน อาจเป็นตัวกระตุ้นความคิดเชิงลบและความเชื่อฝังลึกว่า “เราไม่มีคุณค่า” การเข้าใจที่มาของความเชื่อดังกล่าว การตั้งคำถามกับความคิดอัตโนมัติ รวมไปถึงการสร้างหลักฐานใหม่และเสริมสร้าง Core Belief ที่สมดุล ล้วนเป็นแนวทางสำคัญในการปรับเปลี่ยนมุมมองและเพิ่มความมั่นคงทางจิตใจของเรา
“เราอาจควบคุมไม่ได้ว่า คนอื่นจะเงียบหรือไม่ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความเงียบด้วยหัวใจที่มั่นคง เชื่อมั่นในคุณค่า และเป็นอิสระจากการตีความเชิงลบทั้งปวง”
Comments